About Me !

รูปภาพของฉัน
เพชรบุรี, กลาง, Thailand
16 ณภัทร์กมล > FeronZo** <

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปีใหม่

ว้าวว วันนี้จัดงานปีใหม่หนุกมากกกกกกก
กลับบ้านดึกสุดๆ สนุกมากจิงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พบ 2 พืชชนิดใหม่ของโลกในไทย สารมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง


เปิดตัว 2 พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก พบเฉพาะในไทย "บุหรงช้าง-บุหรงดอกทู่" นักวิจัย วว. เร่งหาวิธีขยายพันธุ์ป้องกันไม่ให้หมดจากป่า พร้อมศึกษาสารออกฤทธิ์ทางยาก่อนต่างชาติฉกไปวิจัย เบื้องต้นพบกลุ่มสารสำคัญมีฤทธิ์คล้ายสารต้านมะเร็ง ปีหน้าเตรียมสกัดทดสอบประสิทธิภาพ ยับยั้งเซลล์มะเร็งก่อนถูกต่างชาติตัดหน้าเอาพืชไทยไปวิจัยและจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ พรรณไม้ 2 ชนิดใหม่ของโลก ได้แก่ "บุหรงช้าง" และ "บุหรงดอกกระทู่" ซึ่งเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทยที่ค้นพบและศึกษาโดย ทีมวิจัยของ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสาร ซิสเทมาติก บอทานี (Systematic Botany) ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 ประจำปี 2552 เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวารสารการจำแนกพรรณไม้นานาชาติของสหรัฐอเมริกา ดร.ปิยะ เปิดเผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ และสื่อมวลชนว่า เขาและทีมวิจัยสำรวจพบบุหรงช้างครั้งแรกเมื่อปี 2544 ในป่าดิบชื้นของ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่ระดับความสูงประมาณ 300-500 เมตร ซึ่งพบอยู่เพียงไม่กี่ต้น แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับชายแดนไทยมาเลเซีย จึงต้องร่วมกับนักวิจัยมาเลเซียศึกษาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะพบว่าพืชชนิดดังกล่าวยังไม่เคยมีรายงานการค้นพบในมาเลเซียมาก่อน และเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก ส่วนบุหรงดอกทู่นั้น ดร.ปิยะ สำรวจพบมานานกว่า 10 ปีแล้ว ในป่าดิบเขา อ.แม่ฟ้าหลวง และ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ระดับความสูง 800-1,600 เมตร แต่เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกับบุหรงที่พบในจีน จึงยังไม่รายงานว่าเป็นพืชชนิดใหม่ ทว่าเมื่อร่วมกับนักวิจัยจีนศึกษาพืชดังกล่าวอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าแตกต่างจากบุหรงชนิดอื่นๆ เมื่อราว 2 ปีก่อน จึงรายงานว่าเป็นบุหรงชนิดใหม่ของโลกอีกชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พืชใหม่ทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวจัดเป็นพรรณไม้หายากและเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย ที่มีเหลืออยู่ในธรรมชาติจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับบุหรงทั่วไปที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ประกอบกับภูมิปัญญาชาวบ้านนิยมนำลำต้นของบุหรงมาดองเหล้า เพื่อดื่มกินเป็นยารักษาอาการปวดเมื่อย นักวิจัยจึงหวั่นว่าหากไม่เร่งอนุรักษ์ไว้ พรรณไม้ชนิดใหม่ของ 2 ทั้งสองชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ได้ นักวิจัยจึงเร่งศึกษาวิธีขยายพันธุ์บุหรงดอกทู่ โดยร่วมกับองค์การสวนพฤกษศาสตร์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์และได้ต้นบุหรงดอกทู่จากการทาบกิ่งแล้วจำนวนกว่า 10 ต้น ส่วนบุหรงช้างยังไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ เนื่องจากเติบโตอยู่ในพื้นที่เข้าถึงยาก นักวิจัยยังไม่สามารถนำตัวอย่างต้นที่มีชีวิตออกมาจากพื้นที่ที่ค้นพบได้ ได้เพียงแต่ตัวอย่างบางของลำต้นเพียงบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้น วว. ยังได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาสารออกฤทธิ์ทางยาจากต้นบุหรงช้างและบุหรงดอกทู่ เบื้องต้นพบสารในกลุ่มเดซีมาสชาลอน (Dasymaschalon) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสารกลุ่มที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ จึงมีโอกาสนำมาพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งได้ โดยในปีหน้าทีมวิจัยจะเร่งสกัดสารดังกล่าวออกมาทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเซลล์มะเร็ง "หากเราไม่เร่งศึกษาวิจัยให้รู้ผลก่อน ต่างชาติอาจมานำพืชชนิดใหม่ของเราไปวิจัยและจดสิทธิบัตรก่อนเหมือนกับหลายกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งประเทศเราเป็นเจ้าของพรรณพืชแต่กลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย" ดร.ปิยะกล่าว ทั้งนี้ บุหรงเป็นไม้ในวงศ์กระดังงา ที่พบแล้วทั่วโลกขณะนี้มีประมาณ 30 ชนิด ส่วนใหญ่พบในป่าเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้พบในไทยแล้ว 12 ชนิด ทั้งนี้ บุหรงช้าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เดซีมาสชาลอน แกรนดิฟรอลัม (Dasymaschalon grandifrolum Jing Wang, Chalermglin & R.M.K. Saunders) ลักษณะเด่นคือมีดอกและผลขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลบุหรง จึงเรียกว่าบุหรงช้าง โดยแต่ละดอกมีกลีบดอก 3 กลีบ ยาวประมาณ 16-18 เซนติเมตร ดอกบานในช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. มีผลทรงกระบอกยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร และเป็นบุหรงชนิดเดียวในขณะนี้ที่เป็นไม้เถา เถาเลื้อยได้ไกลถึง 15 เมตร ส่วนบุหรงดอกทู่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เดซีมาสชาลอน ออบทูซิเพทาลัม (Dasymaschalon obtusipetalum Jing Wang, Chalermglin and R.M.K. Saunders) เป็นไม้พุ่ม สูง 4-6 เมตร ดอกออกที่ปลายยอด ก้านดอกยาว 4.5 เซนติเมตร กลีบดอกมี 3 กลีบ กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ขอบกลีบบรรจบกันเป็นแท่งสามเหลี่ยม ตอนปลายดอกทู่และไม่บิด ดอกบานในเดือน พ.ค.-มิ.ย.

ฮาโหววว

โอ๊ยยยยยยยย เมื่อไหร่จะวันเสาร์อยากนอนนนนนนนนนนนนนเว้ยยยย
หวาดดีวันนี้ไม่มีอะไรเล๊ยย น่าเบื่อ ช้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

4 ขั้นตอนในการเลือกของขัวญ คริสต์มาส

ขั้นตอนแรก
ตั้งงบประมาณให้กับของขวัญของแต่ละคนที่เราจะซื้อให้
เพื่อให้คุณนึกถึงงบของคุณ ลองนึกดูสิว่าเมื่อปีที่แล้วพวกเขาซื้ออะไรให้คุณ
มันคงจะน่าอายมากถ้าหากว่าใครคนหนึ่งให้ชุดสร้อยคอและต่างหูแก่คุณ
แล้วคุณกลับให้เค้าเพียงแค่ช็อกโกแลตแค่กล่องเดียว
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อของมีค่าราคาแพงอะไรมากมาย
แค่มีค่ากับคนรับก็เพียงพอแล้ว
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ
ขั้นตอนที่สอง
ลองคิดไอเดียคร่าวๆ สำหรับของขวัญของแต่ละคนก่อนที่จะไปถึงที่ร้าน
ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการที่ไปถึงร้านแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรหรือไม่ได้อะไรเลย
พี่นัทเชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-d.com หลายๆ คนก็เคยเป็นใช่ไหมล่ะจ๊ะ
กะว่าจะไปดูที่ร้าน แต่พอไปถึงก็ไม่รู้จะซื้ออะไรดี
แล้วก็เดินกลับบ้านตัวเปล่า
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ
ขั้นตอนที่สาม
เมื่อเราไปถึงร้านแล้ว จงสำรวจดูให้รอบๆ ร้านซะก่อน
บางทีคุณอาจจะไม่เจอของที่คุณอยากได้ในร้านนี้ก็ได้
บางทีร้านนี้ก็ไม่ได้มีทุกอย่างที่คุณความต้องการจะซื้อ
สามารถเดินไปหาที่ร้านอื่นได้
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ

ขั้นตอนสุดท้าย
ดูให้แน่ใจอีกทีว่า ของทุกอย่างที่คุณซื้อเหมาะกับผู้รับแล้ว และจะได้มั่นใจว่าคุณไม่ได้เสียเงินไปเปล่าแน่ๆ

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทรนด์ ทรงผม มาแรง ปี 2010

เทรนด์ ทรงผม มาแรง ปี 2010short black ผมตัดซอยสั้น โกรกสีดำ ... คอนเฟิร์ม!!!
เทรนด์ ทรงผม ในปี 2010 นี้ เหล่าเซเลบฝั่งตะวันตก คอนเฟิร์มมาแล้วว่า 1 ในแบบทรงผมทั้งหลายที่มาแรงแน่ๆ ได้แก่ ผมซอยสั้น โกรกดำขลับ ช่วง นี้เราก็จะเห็นได้แล้วว่า เ หล่าดาราฮอลลีวู้ด และ เซเลบเจ้าแม่แฟชั่นทั้งหลาย ก็หันมาทำผมเทรนด์นี้กันแล้ว อย่างนี้แฟชั่นนิสต้าฝั่งเอเชีย อย่างสาวไทยๆ อย่างพวกเรา ก็ไม่ต้องกล้าๆ กลัวๆ ที่จะมาทำผมเทรนด์นี้กัน เพราะพวกเราก็มีพันธุกรรม เส้นผมสีโทนดำกันอยู่แล้ว... เพราะฉะนั้น แค่เดินตรงไปร้านทำผม ให้ช่างฝีมือดี ซอยสั้นไปเลย แต่สำหรับใครที่อยากจะให้ผมดำขลับมากๆ ก็โกรกดำไปเลยค่ะ เริ่ด...! แบบทรงผม เทรนด์นี้
women.mthai ว่าเหมาะกับสาวไทยเป็นที่สุด เพราะจะไม่ดูหลอกมาก และไม่ดูเยอะจนเกินไปเท่ากับการโกรกสีโทนอ่อน อย่าง บรอนด์ทอง หรือ น้ำตาลอ่อน ใครที่มั่นใจก็ลองดูนะคะ

หึหึ

วันนี้เล่นเกมส์ทั้งวันเลยเว้ยยยเห้ยยย
เบื่อๆเซ็งๆ ตื่นนอนไม่อยากไปเรียน เบื่อเรียน เบื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กินจุกจิกเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

เมนูที่ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนมาฝากกันจ้า นอกจากไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วยนะ
ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ นอกจากจะช่วยให้สมองแล่นอารมณ์ดีและอิ่มนานเป็นชั่วโมงแล้ว ยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย

กล้วย อุดมด้วยโพแทสเซียมช่วยคุมระดับความดันเลือด วิตามินบี 6 สำหรับแก้อาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดและนอนไม่หลับ และเซโรโทนินทำให้อารมณ์ดี
แครอต เปี่ยมไปด้วยแคโรทีนอันเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ แครอตจึงเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม และสามารถป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
ลูกเกด มี สารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง แถมยังดีต่อสุขภาพฟัน นอกจากนี้แร่ธาตุในลูกเกดยังอาจส่งผลต่อระดับเอสโตรเจนในร่างกายและป้องกัน โรคกระดูกพรุน
ถั่วเปลือกนิ่มต่างๆ มีโปรตีน วิตามินบีจำนวนมาก ถั่วลันเตาหรือถั่วเหลืองต้มสุกสักถ้วยดีต่อสุขภาพแน่นอน
แอปเปิ้ล เชื่อ กันว่า ผลไม้ที่เป็นแหล่งของไฟโตเคมิคัลหลากชนิดนี้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน กระแสเลือด ช่วยการขับถ่าย และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเส้นเลือดแตกในสมอง มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน และโรคหอบได้

ข้าวโอ๊ตต้ม พร้อม พรั่งทั้งสารอาหาร จากพืช โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ Low-Glยังช่วยให้อิ่มไปตลอดเช้า ถ้าไม่มีเวลาต้มก็ลองซื้อแบบปรุงง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟมาทาน
องุ่น เชื่อกันว่า แหล่งวิตามินเอ ซี และบี 6 รวมถึงธาตุเหล็ก และเซเลเนียม ชั้นเลิศนี้ในเนื้อองุ่นป้องกันมะเร็งได้
เยลลี่ หากเลือกกินชนิดปราศจากน้ำตาล ไม่เพียงแต่จะปลอดภัยจากไขมัน แต่ยังแทบไม่มีแคลอรีอีกด้วย
ที่มา http://www.dek-d.com/content/lifestyle/18117/กินจุกจิกเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน.htm

ปวดหัว

โฮกกกกก การบ้านเยอะแยะมากมายหมดกลางภาคก็ต่อสอบย่อยอยากพักเว้ยยยยยอยากพัก

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนังสือพิมพ์เกิดขึ้นเมื่อใด?

หนังสือพิมพ์เกิดขึ้นในประเทศจีน สมัยซี่ฮั่นช่วงก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 200 ปี ชื่อว่าตี่เป้า เพราะเค้าใช้เขียนลงบนแผ่นไม้ไผ่ที่ใช้เชือกร้อยเป็นแผง หรือไม่ก็บนผ้าดิบ เนื่องจากการผลิตกระดาษยังไม่ค่อยแพร่หลาย เนื้อหาที่เขียนส่วนใหญ่ก็เช่น พระราชโองการขอพระเจ้าแผ่นดิน ข่าวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินเหตุการณ์สำคัญในพระราชสำนัก ซึ่งผู้รับส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อ่านออกเขียนได้ และอยู่ในวงราชการเท่านั้นค่ะ
ที่มา http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=278099&chapter=68

วิธีทำให้ผิวขาว

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...
1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย
4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว
5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง
6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย
7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น
8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ
9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง
10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้
11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด
12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้
13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ 14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด
16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ
17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก
18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น
19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการ เสียดสี
20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้
21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง
22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ
23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป
24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด 25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้
26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น
27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา
เครดิต:http://women.kapook.com

โฮกกกก สิ้นสุดการสอบ

เยสสส !! สอบเสร็จแล้วสะบายใจเว่อร์
อิอิ
ได้เล่นคอมพ์ตามใจแล้ว เย้ๆๆๆๆ