About Me !

รูปภาพของฉัน
เพชรบุรี, กลาง, Thailand
16 ณภัทร์กมล > FeronZo** <

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปีใหม่

ว้าวว วันนี้จัดงานปีใหม่หนุกมากกกกกกก
กลับบ้านดึกสุดๆ สนุกมากจิงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พบ 2 พืชชนิดใหม่ของโลกในไทย สารมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง


เปิดตัว 2 พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก พบเฉพาะในไทย "บุหรงช้าง-บุหรงดอกทู่" นักวิจัย วว. เร่งหาวิธีขยายพันธุ์ป้องกันไม่ให้หมดจากป่า พร้อมศึกษาสารออกฤทธิ์ทางยาก่อนต่างชาติฉกไปวิจัย เบื้องต้นพบกลุ่มสารสำคัญมีฤทธิ์คล้ายสารต้านมะเร็ง ปีหน้าเตรียมสกัดทดสอบประสิทธิภาพ ยับยั้งเซลล์มะเร็งก่อนถูกต่างชาติตัดหน้าเอาพืชไทยไปวิจัยและจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ พรรณไม้ 2 ชนิดใหม่ของโลก ได้แก่ "บุหรงช้าง" และ "บุหรงดอกกระทู่" ซึ่งเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทยที่ค้นพบและศึกษาโดย ทีมวิจัยของ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสาร ซิสเทมาติก บอทานี (Systematic Botany) ปีที่ 34 ฉบับที่ 2 ประจำปี 2552 เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวารสารการจำแนกพรรณไม้นานาชาติของสหรัฐอเมริกา ดร.ปิยะ เปิดเผยกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ และสื่อมวลชนว่า เขาและทีมวิจัยสำรวจพบบุหรงช้างครั้งแรกเมื่อปี 2544 ในป่าดิบชื้นของ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ที่ระดับความสูงประมาณ 300-500 เมตร ซึ่งพบอยู่เพียงไม่กี่ต้น แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับชายแดนไทยมาเลเซีย จึงต้องร่วมกับนักวิจัยมาเลเซียศึกษาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะพบว่าพืชชนิดดังกล่าวยังไม่เคยมีรายงานการค้นพบในมาเลเซียมาก่อน และเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก ส่วนบุหรงดอกทู่นั้น ดร.ปิยะ สำรวจพบมานานกว่า 10 ปีแล้ว ในป่าดิบเขา อ.แม่ฟ้าหลวง และ อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ระดับความสูง 800-1,600 เมตร แต่เนื่องจากมีลักษณะคล้ายคลึงกับบุหรงที่พบในจีน จึงยังไม่รายงานว่าเป็นพืชชนิดใหม่ ทว่าเมื่อร่วมกับนักวิจัยจีนศึกษาพืชดังกล่าวอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าแตกต่างจากบุหรงชนิดอื่นๆ เมื่อราว 2 ปีก่อน จึงรายงานว่าเป็นบุหรงชนิดใหม่ของโลกอีกชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พืชใหม่ทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวจัดเป็นพรรณไม้หายากและเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย ที่มีเหลืออยู่ในธรรมชาติจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับบุหรงทั่วไปที่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ประกอบกับภูมิปัญญาชาวบ้านนิยมนำลำต้นของบุหรงมาดองเหล้า เพื่อดื่มกินเป็นยารักษาอาการปวดเมื่อย นักวิจัยจึงหวั่นว่าหากไม่เร่งอนุรักษ์ไว้ พรรณไม้ชนิดใหม่ของ 2 ทั้งสองชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ได้ นักวิจัยจึงเร่งศึกษาวิธีขยายพันธุ์บุหรงดอกทู่ โดยร่วมกับองค์การสวนพฤกษศาสตร์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จในการขยายพันธุ์และได้ต้นบุหรงดอกทู่จากการทาบกิ่งแล้วจำนวนกว่า 10 ต้น ส่วนบุหรงช้างยังไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ เนื่องจากเติบโตอยู่ในพื้นที่เข้าถึงยาก นักวิจัยยังไม่สามารถนำตัวอย่างต้นที่มีชีวิตออกมาจากพื้นที่ที่ค้นพบได้ ได้เพียงแต่ตัวอย่างบางของลำต้นเพียงบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้น วว. ยังได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยมหิดล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาสารออกฤทธิ์ทางยาจากต้นบุหรงช้างและบุหรงดอกทู่ เบื้องต้นพบสารในกลุ่มเดซีมาสชาลอน (Dasymaschalon) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสารกลุ่มที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ จึงมีโอกาสนำมาพัฒนาเป็นยาต้านมะเร็งได้ โดยในปีหน้าทีมวิจัยจะเร่งสกัดสารดังกล่าวออกมาทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเซลล์มะเร็ง "หากเราไม่เร่งศึกษาวิจัยให้รู้ผลก่อน ต่างชาติอาจมานำพืชชนิดใหม่ของเราไปวิจัยและจดสิทธิบัตรก่อนเหมือนกับหลายกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งประเทศเราเป็นเจ้าของพรรณพืชแต่กลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย" ดร.ปิยะกล่าว ทั้งนี้ บุหรงเป็นไม้ในวงศ์กระดังงา ที่พบแล้วทั่วโลกขณะนี้มีประมาณ 30 ชนิด ส่วนใหญ่พบในป่าเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยขณะนี้พบในไทยแล้ว 12 ชนิด ทั้งนี้ บุหรงช้าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เดซีมาสชาลอน แกรนดิฟรอลัม (Dasymaschalon grandifrolum Jing Wang, Chalermglin & R.M.K. Saunders) ลักษณะเด่นคือมีดอกและผลขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลบุหรง จึงเรียกว่าบุหรงช้าง โดยแต่ละดอกมีกลีบดอก 3 กลีบ ยาวประมาณ 16-18 เซนติเมตร ดอกบานในช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. มีผลทรงกระบอกยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร และเป็นบุหรงชนิดเดียวในขณะนี้ที่เป็นไม้เถา เถาเลื้อยได้ไกลถึง 15 เมตร ส่วนบุหรงดอกทู่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า เดซีมาสชาลอน ออบทูซิเพทาลัม (Dasymaschalon obtusipetalum Jing Wang, Chalermglin and R.M.K. Saunders) เป็นไม้พุ่ม สูง 4-6 เมตร ดอกออกที่ปลายยอด ก้านดอกยาว 4.5 เซนติเมตร กลีบดอกมี 3 กลีบ กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ขอบกลีบบรรจบกันเป็นแท่งสามเหลี่ยม ตอนปลายดอกทู่และไม่บิด ดอกบานในเดือน พ.ค.-มิ.ย.

ฮาโหววว

โอ๊ยยยยยยยย เมื่อไหร่จะวันเสาร์อยากนอนนนนนนนนนนนนนเว้ยยยย
หวาดดีวันนี้ไม่มีอะไรเล๊ยย น่าเบื่อ ช้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

4 ขั้นตอนในการเลือกของขัวญ คริสต์มาส

ขั้นตอนแรก
ตั้งงบประมาณให้กับของขวัญของแต่ละคนที่เราจะซื้อให้
เพื่อให้คุณนึกถึงงบของคุณ ลองนึกดูสิว่าเมื่อปีที่แล้วพวกเขาซื้ออะไรให้คุณ
มันคงจะน่าอายมากถ้าหากว่าใครคนหนึ่งให้ชุดสร้อยคอและต่างหูแก่คุณ
แล้วคุณกลับให้เค้าเพียงแค่ช็อกโกแลตแค่กล่องเดียว
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องซื้อของมีค่าราคาแพงอะไรมากมาย
แค่มีค่ากับคนรับก็เพียงพอแล้ว
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ
ขั้นตอนที่สอง
ลองคิดไอเดียคร่าวๆ สำหรับของขวัญของแต่ละคนก่อนที่จะไปถึงที่ร้าน
ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการที่ไปถึงร้านแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรหรือไม่ได้อะไรเลย
พี่นัทเชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-d.com หลายๆ คนก็เคยเป็นใช่ไหมล่ะจ๊ะ
กะว่าจะไปดูที่ร้าน แต่พอไปถึงก็ไม่รู้จะซื้ออะไรดี
แล้วก็เดินกลับบ้านตัวเปล่า
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ
ขั้นตอนที่สาม
เมื่อเราไปถึงร้านแล้ว จงสำรวจดูให้รอบๆ ร้านซะก่อน
บางทีคุณอาจจะไม่เจอของที่คุณอยากได้ในร้านนี้ก็ได้
บางทีร้านนี้ก็ไม่ได้มีทุกอย่างที่คุณความต้องการจะซื้อ
สามารถเดินไปหาที่ร้านอื่นได้
4 ขั้นตอนง่ายเลือกของขวัญคริสต์มาสถูกใจคนรับ

ขั้นตอนสุดท้าย
ดูให้แน่ใจอีกทีว่า ของทุกอย่างที่คุณซื้อเหมาะกับผู้รับแล้ว และจะได้มั่นใจว่าคุณไม่ได้เสียเงินไปเปล่าแน่ๆ

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทรนด์ ทรงผม มาแรง ปี 2010

เทรนด์ ทรงผม มาแรง ปี 2010short black ผมตัดซอยสั้น โกรกสีดำ ... คอนเฟิร์ม!!!
เทรนด์ ทรงผม ในปี 2010 นี้ เหล่าเซเลบฝั่งตะวันตก คอนเฟิร์มมาแล้วว่า 1 ในแบบทรงผมทั้งหลายที่มาแรงแน่ๆ ได้แก่ ผมซอยสั้น โกรกดำขลับ ช่วง นี้เราก็จะเห็นได้แล้วว่า เ หล่าดาราฮอลลีวู้ด และ เซเลบเจ้าแม่แฟชั่นทั้งหลาย ก็หันมาทำผมเทรนด์นี้กันแล้ว อย่างนี้แฟชั่นนิสต้าฝั่งเอเชีย อย่างสาวไทยๆ อย่างพวกเรา ก็ไม่ต้องกล้าๆ กลัวๆ ที่จะมาทำผมเทรนด์นี้กัน เพราะพวกเราก็มีพันธุกรรม เส้นผมสีโทนดำกันอยู่แล้ว... เพราะฉะนั้น แค่เดินตรงไปร้านทำผม ให้ช่างฝีมือดี ซอยสั้นไปเลย แต่สำหรับใครที่อยากจะให้ผมดำขลับมากๆ ก็โกรกดำไปเลยค่ะ เริ่ด...! แบบทรงผม เทรนด์นี้
women.mthai ว่าเหมาะกับสาวไทยเป็นที่สุด เพราะจะไม่ดูหลอกมาก และไม่ดูเยอะจนเกินไปเท่ากับการโกรกสีโทนอ่อน อย่าง บรอนด์ทอง หรือ น้ำตาลอ่อน ใครที่มั่นใจก็ลองดูนะคะ

หึหึ

วันนี้เล่นเกมส์ทั้งวันเลยเว้ยยยเห้ยยย
เบื่อๆเซ็งๆ ตื่นนอนไม่อยากไปเรียน เบื่อเรียน เบื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กินจุกจิกเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

เมนูที่ทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนมาฝากกันจ้า นอกจากไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพด้วยนะ
ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ นอกจากจะช่วยให้สมองแล่นอารมณ์ดีและอิ่มนานเป็นชั่วโมงแล้ว ยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย

กล้วย อุดมด้วยโพแทสเซียมช่วยคุมระดับความดันเลือด วิตามินบี 6 สำหรับแก้อาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดและนอนไม่หลับ และเซโรโทนินทำให้อารมณ์ดี
แครอต เปี่ยมไปด้วยแคโรทีนอันเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ แครอตจึงเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม และสามารถป้องกันโรคหัวใจ รวมถึงมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
ลูกเกด มี สารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง แถมยังดีต่อสุขภาพฟัน นอกจากนี้แร่ธาตุในลูกเกดยังอาจส่งผลต่อระดับเอสโตรเจนในร่างกายและป้องกัน โรคกระดูกพรุน
ถั่วเปลือกนิ่มต่างๆ มีโปรตีน วิตามินบีจำนวนมาก ถั่วลันเตาหรือถั่วเหลืองต้มสุกสักถ้วยดีต่อสุขภาพแน่นอน
แอปเปิ้ล เชื่อ กันว่า ผลไม้ที่เป็นแหล่งของไฟโตเคมิคัลหลากชนิดนี้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน กระแสเลือด ช่วยการขับถ่าย และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเส้นเลือดแตกในสมอง มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคเบาหวาน และโรคหอบได้

ข้าวโอ๊ตต้ม พร้อม พรั่งทั้งสารอาหาร จากพืช โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ Low-Glยังช่วยให้อิ่มไปตลอดเช้า ถ้าไม่มีเวลาต้มก็ลองซื้อแบบปรุงง่ายๆ ด้วยไมโครเวฟมาทาน
องุ่น เชื่อกันว่า แหล่งวิตามินเอ ซี และบี 6 รวมถึงธาตุเหล็ก และเซเลเนียม ชั้นเลิศนี้ในเนื้อองุ่นป้องกันมะเร็งได้
เยลลี่ หากเลือกกินชนิดปราศจากน้ำตาล ไม่เพียงแต่จะปลอดภัยจากไขมัน แต่ยังแทบไม่มีแคลอรีอีกด้วย
ที่มา http://www.dek-d.com/content/lifestyle/18117/กินจุกจิกเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน.htm

ปวดหัว

โฮกกกกก การบ้านเยอะแยะมากมายหมดกลางภาคก็ต่อสอบย่อยอยากพักเว้ยยยยยอยากพัก

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หนังสือพิมพ์เกิดขึ้นเมื่อใด?

หนังสือพิมพ์เกิดขึ้นในประเทศจีน สมัยซี่ฮั่นช่วงก่อนคริสต์ศักราชประมาณ 200 ปี ชื่อว่าตี่เป้า เพราะเค้าใช้เขียนลงบนแผ่นไม้ไผ่ที่ใช้เชือกร้อยเป็นแผง หรือไม่ก็บนผ้าดิบ เนื่องจากการผลิตกระดาษยังไม่ค่อยแพร่หลาย เนื้อหาที่เขียนส่วนใหญ่ก็เช่น พระราชโองการขอพระเจ้าแผ่นดิน ข่าวเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินเหตุการณ์สำคัญในพระราชสำนัก ซึ่งผู้รับส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อ่านออกเขียนได้ และอยู่ในวงราชการเท่านั้นค่ะ
ที่มา http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=278099&chapter=68

วิธีทำให้ผิวขาว

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับวิธีทำให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู 27 วิธี บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย...
1. การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่ อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง
2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิว ก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย
4. ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว
5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง
6. วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย
7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น
8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ
9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง
10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้
11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด
12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้
13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ 14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด
16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ
17. มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก
18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น
19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่นเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการ เสียดสี
20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้
21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง
22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ
23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป
24. การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด 25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้
26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น
27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา
เครดิต:http://women.kapook.com

โฮกกกก สิ้นสุดการสอบ

เยสสส !! สอบเสร็จแล้วสะบายใจเว่อร์
อิอิ
ได้เล่นคอมพ์ตามใจแล้ว เย้ๆๆๆๆ

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Diary Online

เหนื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมาก
การบ้านๆๆๆๆๆ สอบๆๆๆ คิดถึงพ่อจัง

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Diary Online

ตื่นเต้นนนพรุ่งนี้เพื่อนๆแข่งตารางเก้าช่องแล้วว
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อยากดูมากกกกกก

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

หึหึ เปิดเทอมมมม เซ็ง
การบ้านๆๆๆ เรียนๆๆๆๆๆๆ
เบื่อเว้ยยยย

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ข่าว

จีนเริ่มกวาดล้างเกมออนไลน์ ปักกิ่ง 9 ต.ค.-สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า รัฐบาลจีนเริ่มรณรงค์กวาดล้างเกมออนไลน์ผิดกฎหมายและมีเนื้อหาล่อแหลม นับเป็นความพยายามล่าสุดในการควบคุมอินเทอร์เน็ตในจีน
การกวาดล้างดังกล่าวนำไปสู่การปิดเกมออนไลน์แล้วจำนวน 45 เกม ซึ่งทางการระบุว่าส่งเสริมให้บรรดาผู้เล่นมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การค้ายาเสพติดและการค้าประเวณี แถลงการณ์ซึ่งปรากฏในเว็บไซต์ของสำนักงานบริหารสื่อสิ่งพิมพ์ระบุว่า เกมออนไลน์ทั้ง 45 เกม ที่ถูกสั่งปิดเป็นของต่างชาติ และไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในจีน
ปัจจุบัน มีเกมออนไลน์กว่า 200 เกมถูกตรวจสอบ อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์กวาดล้างเกมออนไลน์ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และมีการกำหนดเส้นตายให้บางเกมเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่น จีนมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างน้อย 338 ล้านคน ซึ่งมากกว่าประเทศใด ๆ ในโลก.-สำนักข่าวไทย
ที่มา http://news.mcot.net/technology/inside.php?value=bmlkPTExOTY3MyZudHlwZT10ZXh0

ความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์


อาการหยุดหายใจชั่วคราวรุนแรงในระหว่างการนอนหลับ นั้นทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 46% แต่คนที่มีอาการหยุดหายใจชั่วคราวแบบอ่อนระหว่างนอนหลับนั้นจะไม่มีความเสี่ยงนี้
นักวิจัยระบุว่าคนที่มีภาวะปัญหาทางการหายใจรุนแรงระหว่างนอนหลับนั้นมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตได้จากหลาย ๆ สาเหตุมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่มีปัญหาทางการนอนหลับเหมือนกัน ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นในชายที่มีภาวะโรคอ้วนที่มีอายุเฉลี่ย 40 ปีถึง 70 ปี โดยนี้เป็นงานวิจัยจาก
มหาวิทยาลัยบัลติมอร์
ที่มา http://www.foosci.com/

Diary Online

ว้าววว ปิดเทอมแล้วดีใจจังได้พักผ่อน แต่ก็ต้องเรียนพิเศษ แงๆๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

Diary Online

การบ้านเยอะๆๆๆๆๆ
จะปิดเทอมแล้วเย้ๆๆๆๆ

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

Diary Online

ช่วงท้อแท้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดอีกแล้ว
ทั้งๆที่ไม่ควรเก็บมันมาคิดแต่ก็อดไม่ได้
ทั้งๆที่ บางทีก็หมดเรื่องกังวลใจไปได้แต่ก็กลับมาเป็นแบบเดิม
ภาพซ้ำๆ จนบางทีเหนื่อยมากแล้ว
เหนื่อยกับความรู้สึกนี้ แต่ตัดมันออกไปไม่ได้ซักที

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

Diary Online

โฮกๆ ก็ เหนื่อย เหนื่อย และ เหนื่อย บอกได้แค่นั้นละนะ
เรียนหนักไปไหนเนอะ??
วันนี้เรียนพิเศษขำมากชอบมุกครูอัมพร ฮาดีอ่ะ
อิอิ หิวข้าวจัง ไปและ
บ๊ายบาย

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้ "มือถือ" และ "หูฟัง" มากเกินไปอาจจะ....

มือถือ >> การคุยโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย เพราะความร้อนจากโทรศัพท์จะเข้าไปอยู่ในหู ทำให้เกิดอาการคัน ซึ่งเมื่อน้องๆ แคะ หรือเกาแล้วจะทำให้ผิวหนังเป็นแผล ดังนั้นเชื้อโรคต่างๆ จึงสามารถเข้าสู่แผลได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่องหูเป็นสิวหรืออักแสบได้ นอกจากนี้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ยังเป็นตัวการทำลายเส้นประสาทในรูหู และเซลล์สมองอีกด้วย ทำให้เป็นเนื้องอกขึ้นมาได้
วิธีป้องกัน
ถ้าน้องๆ รู้ตัวว่าเป็นขาเม้าท์ชอบคุยโทรศัพท์เป็นเวลานานๆ ล่ะก็ พี่ปัดขอแนะนำให้ใช้สมอลล์ทอล์ค หรือบูลทูธแทน เพราะจะช่วยป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
นำสำลีจุ่มแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือวันละ 2 ครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค

หูฟัง >> การใช้ฟังเพลงติดต่อเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความดันของคลื่นเสียง ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทหูและเซลล์ขนในหู แต่ถ้าได้ยินเสียงเหมือนแมงหวี่ร้อง หรือเสียงวิทยุจูนผิดคลื่นตลอดเวลาล่ะก็ แสดงว่าน้องๆ มีอาการประสาทรับเสียงเสียงเสื่อมนะ นอกจากนี้หูฟังที่ใช้ฟังเพลงนั้น น้องๆ รู้กันรึเปล่าจ๊ะว่าเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรค ซึ่งจะทำให้เป็นโรคหนองในหู และการอักแสบในช่องหูได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ ควรที่จะเปิดเสียงในเครื่องเล่นเอ็มพี 3ให้มีระดับความดังเพียงแค่ครึ่งเดียวของระดับเสียงที่เครื่องมีอยู่นะจ๊ะ
เลือกฟังเพลงในช่วงเวลาที่ต้องการเท่านั้น เพื่อเป็นการช่วยหยุดพักการทำงานของหู
หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น เพราะอาจจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ ควรที่จะเปลี่ยนฟองน้ำและทำความสะอาดหูฟังเป็นประจำ

อากาศ >> ฝุ่นละอองและควันรถทำให้เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย จึงต้องระมัดระวังไม่ปล่อยให้ลุกลานจนเกิดอากาศอักแสบหลังโพรงจมูกและคอ เพราะถ้าเป็นแล้วล่ะก็เชื้อโรคจะเดินทางมาที่หูทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวกได้
วิธีป้องกัน
น้องๆ จะต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัด
หากเป็นหวัดต้องคอยสังเกตตัวเองว่ามีของเหลงลักษณะเหมือนเลือดผสมหนองไหลออกมาจากรูหูรึเปล่า และถ้ามีอาการปวดหูด้วยล่ะก็ น้องๆ จะต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน เพราะแก้วหูอาจจะอักแสบจนถึงขั้นทะลุแล้วก็ได้นะจ๊ะ

ที่มา:http://www.dek-d.com/content/lifestyle/16973/ใช้-มือถือ-และ-หูฟัง-มากเกินไปอาจจะ.....htm

Diary Online

โฮกกกกก!!! สิ้นสุด YC ซะที
การบ้านบานเลยไม่ไปโรงเรียนวันเดียว
เซ็งๆๆๆๆ วันนี้ที่เรียนพิเศษขำมาก
เพื่อนโดนริบโทรศัพท์ 5555

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

ชายที่อ้วนที่สุดในโลก

นาย Manuel Uribe Garza เกิดเมือวันที่ 11 June 1965 เป็นชาวเมือง Nuevo León ประเทศ เม็กซิโก ( Mexico ) ได้ถูกบันทึกว่าเป็นคนที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักตอนที่หนักที่สุดถึง 597 กิโลกรัม และในปี 2001 เขาไม่สามารถลุกจากเตียงนอนได้้อีกเนื่องจากน้ำหนักตัวของเขา ต่อมาเขาได้รับการช่วยเหลือจากทีมหมอ และนักโภชนาการ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยน้ำหนักที่ทำการวัดเมื่อปี 2008 เมื่อเขามีอายุ 43 ปี เขามีน้ำหนัก 369 กิโลกรัมข้อมูลน้ำหนักของนาย Manuel Uribe Garza
1965: เมื่อแรกเกิดเขาหนัก 3.3 kg (7.5 lb)
1984: เมื่ออายุ 19 ปีเขามีน้ำหนัก 121.5 kg (266 lb)
1988: เมื่ออายุ 23 ปีเขามีน้ำหนัก 127 kg (280 lb)
1990: เมื่ออายุ 25 ปีเขาพุ่งขึ้นอย่างเฉียบผันเป็น 184 kg (406 lb)
1995: เมื่ออายุ 30 ปีเขามีน้ำหนัก 248 kg (546 lb)
1996: เมื่ออายุ 31 ได้รับการช่วยเหลือให้ลดน้ำหนักจากสถานลดความอ้วน Tummy tuck เขาสามารถลดน้ำหนักลงได้ 88.9 kg (196 lb) ทำให้เขาเหลือน้ำหนักเพียง 160 kg (350 lb)
1999: เมื่ออายุ 34 น้ำหนักกลับพุ่งขึ้นไปเป็น 502 kg (1,106 lb) ภายในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น
2006:เมื่ออายุ 41 เขาลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารโดยสามารถลดน้ำหนักจาก 597 kg (1,316 lb) เป็น 552 kg (1218 lb)
2007 : เมื่ออายุ 42 ขาลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารได้อีก 181 kg (400 lb) ทำให้เขาเหลือน้ำหนักเพียง 381 kg (840 lb)
2008: เมื่ออายุ 43 เขาลดน้ำหนักได้ีอีกเพีียงเล็กน้อยเพียง 12 kg (26 lb) ทำให้ปัจจุบันเขามีน้ำหนัก 369 kg (814 lb).

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1432702

งานวิชาภาษาอังกฤษ

My Future
In the past I want to be a nurse because I saw many nurse in
Prachomkaow Hospital because my mother work in that hospital but now I want to be a doctor because it has more saraly and I study in Math-science Program . I think I can be more than nurse and I will study much because to be a doctor is so hard.

Diary Online

วันนี้ไป YC มาเหนื่อยมากกกกกกกกกก การบ้านอีกเยอะๆมากๆจริงๆเลยยยยยย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ดัดฟันแฟชั่นอาจตายได้


นายแพทย์พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กล่าวถึงกรณีข่าวนักเรียนเกิดอาการติดเชื้อ หลังจากการจัดฟันแฟชั่นที่ร้านจัดฟันแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยระบุผลจากการตรวจสอบพบว่า ร้านจัดฟันแฟชั่นเหล่านี้ ผู้ที่ให้บริการมิใช่ทันตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ยังไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นลวดที่ใช้ในการดัดฟัน ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลวดสแตนเลส หรือเป็นลวดที่ร้อยดอกไม้ และบางร้านมีการใส่ลูกปัดหลากสี พลาสติกยาง หรือกากเพชรด้วย ทั้งนี้ จากการที่ อย. ได้ตรวจสอบแล้วปรากฏพบว่า มีสารปนเปื้อนหลายชนิด อย่างเช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม สารหนู และอื่นๆ หากสารเหล่านี้สะสมในร่างกายในปริมาณมาก จะก่อให้เกิดผลต่อไต ทำให้ไตวายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และบางรายหากมีโรคแทรกซ้อน ยิ่งทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ง่ายขึ้น
รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ถึงแม้ลวดดัดฟันแฟชั่นที่เปิดให้บริการและขายอยู่ตามท้องตลาดไม่ได้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ แต่ทั้งผู้ขายและผู้ให้บริการ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้าเกิดมีอันตรายต่อผู้ที่มาดัดฟัน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที นอกจากนี้ อย.จะนำปัญหาดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเครื่องมือแพทย์ เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมว่า ลวดดัดฟันแฟชั่นนี้ ควรที่จะจัดเป็นเครื่องมือแพทย์หรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้มีคำสั่งเกี่ยวกับการห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่นเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลต่อไปอีก นายแพทย์พงศ์พันธ์ กล่าวด้วยว่า หากจำเป็นต้องรับบริการทางการจัดฟัน ควรปรึกษาโดยตรงกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมจัดฟันที่โรงพยาบาล หรือคลินิกที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์ที่ทำการรักษาได้ในเว็บไซต์ของสมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย เพราะการใส่ลวดดัดฟันโดยไม่มีทันตแพทย์แนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือผลเสียด้านสุขอนามัยของฟัน หรืออวัยวะในช่องปากตามมาอีก ประกอบกับลวดที่เป็นอุปกรณ์ยึดเกาะกับฟันเป็นลวดที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ มีโอกาสหลุดลงคอ และทำอันตรายแก่ผู้สวมลวดดัดฟันจนถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งนี้หากพบลวดดัดฟันแฟชั่นที่อาจผิดกฎหมาย โปรดแจ้งร้องเรียนมายัง สายด่วน อย. โทร. 1556 เพื่อ อย.จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด


Diary Online

โฮกกกกกกกก ค่ายธรรมะ ดีใจหน่อยไม่ได้ค้าง กลัวๆ 555 แต่ก็ต้องไป YC ที่พรหมา สามวันเต็มๆๆๆๆๆ

เซ็งๆๆๆ ง่วงงงวุ้ยยยย ไปนอนดีกว่า อิอิ

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

Diary Online

โฮะๆๆๆๆๆ วันนี้ไปทำฟันมาปวดปากกกกกกก
แต่ก็ไปกินไอศครีมที่ร้าน เจเจ แถวๆบ้านเพื่อนสนุกดีค่ะ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

บางเรื่อง..ก็พูดยาก
บางอย่าง..อยากทำแต่ทำไม่ได้
บางสิ่ง..แปลกไป
เฮอะๆ เรื่องหนักใจมีมากมายช่วงนี้ รู้สึกว่าซวยเหลือล้น
จะสอบอะไรหนักหนา ..==' เซ็งๆๆๆๆๆๆๆๆ

นาฬิกาเรือนละ 89,900,000 บาท!!!!


เอาภาพนาฬิกาที่แสนสุดจะแพงมาให้ดูกันค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

โฮก!! เหนื่อยจังเว้ยย
การบ้านเยอะแยะไปหมด เซ็งๆๆๆ
ทำไม่ทันอ่า
เฮ็ออออ เบื่อแล้วไม่อยากเรียนอ่ะ แงๆ ทำไมกีฬาสีไม่มีซักสองเดือนอ่ะ
เซ็งๆๆๆ

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

จบกีฬาสี ทีนี้ก็ซวยการสอบคงหลั่งไหลเข้ามาแน่นอน แค่คิดก็ โฮกกก ไม่อยากเล๊ยยยย
แต่ก็นะ ชีวิตเด็กก็ต้องเรียนๆๆๆๆๆๆ เข้าไป
รอปิดเทอมจะแย่แล้ว อยากมากมายเพราะไม่ต้องเรียนแต่เรียนพิเศษ
ไงๆก็สะบายกว่าเห็นๆ
ห้าๆๆ

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อ การเรียน อย่างมี ประสิทธภาพ เริ่มมีบอกการเรียนมาหรือไม่

1. รับผิดชอบ - รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน
2. เริ่มต้นดี - ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม
3. กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่ - กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น
4. วางแผน และจัดการ - มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี

5. มีวินัยต่อตนเอง - เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม
6. อย่าล้าสมัย - วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์
7. ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ - ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป
8. เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน - เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน
9. มุ่งมั้น จดจ่อต่อบทเรียน - มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น
10. เป็นตัวของตัวเอง - รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง
11. มีความกระตือรือล้น - ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน
12. มีสุขภาพดี - อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ
13. เรียนอย่างมีความสุข - พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

ที่มา : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=484374&chapter=1

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

ลา ลัล ลา โฮก แดดร้อนจังวันนี้ แต่ฝนไม่ตกไม่งั้นจะได้เห็นนักบาสลื่นกลางสนามอีก ฮาดี อิอิ

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

วันนี้เชียร์กีฬาสี สนุกมาก กรี๊ด จนแสบ คอ ห้าๆๆ

Diary Online

วันนี้เชียร์กีฬาสีสนุกมาก กรี๊ด จนแสบคอ ห้าๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

อ๊ากพรุ่งนี้กีฬาสีแล้ว ไชโยๆๆๆ
สัปดาห์แห่งการพักผ่อน วันนี้นอนทั้งวัน มีความสุขจริงๆ
อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

วันนี้ดีใจมีคาบว่างตั้งสองคาบคุณครูไม่อยู่ ดีใจจังกีฬาสีจะมาถึงแล้วอยากพักผ่อนไม่มีการบ้านซักอาทิตย์(เอ๊ะ หรือมี)คงจะดี

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Diary Online

วันนี้การบ้านเยอะมาก
ทำไม่ทันเลยจริงๆ
แต่ดีใจที่จะใกล้ๆกีฬาสีแล้ว
ตื่นเต้นมากๆ

อ่านหนังสืออย่างไร ให้เข้าหัว


อ่านหนังสืออย่างไร ให้เข้าหัว

- ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการอ่านหนังสือ ควรจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า บรรยากาศรอบตัวก็สดใส ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปค่ะ แต่งตัวสบายๆ ไม่อึดอัด และไม่ควรฝืนอ่านหนังสือขณะที่กำลังเครียดหรืออารมณ์ไม่ดีนะคะ เพราะจะเป็นช่วงที่ไม่มีสมาธิและทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้ไม่เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างเต็มที่ ดังนั้น ช่วงเวลาที่ควรอ่านหนังสือควรเป็นช่วงที่ร่างกายและจิตใจของน้องๆผ่อนคลาย หรืออ่านในวันหยุดสบายๆ ที่ไม่ได้มีนัดหรือรีบไปที่ไหนค่ะ
อ่านหนังสืออย่างไร ให้เข้าหัว
- อย่าอ่านเมื่อรู้สึกหิว (กินให้อิ่มก่อนดีกว่านะ) เพราะจะทำให้ไม่มีสมาธิ (ท้องก็ร้อง) แถมยังไม่มีพลังงานให้สมอง และไม่ควรอ่านหนังสือหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการย่อยอาหาร ถ้าเกิดไปอ่านหนังสือตอนนั้น เลือดจะขึ้นไปเลี้ยงสมองมาก จนทำให้กระเพาะย่อยอาหารได้ไม่ดี อาจท้องอืดท้องเฟ้อได้นะคะ!!

อ่านหนังสืออย่างไร ให้เข้าหัว
- ท่านั่งที่ถูกต้องสำหรับการอ่าน คือ นั่งหลังตรงและไม่เกร็งเกินไป ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงและเท้าแขนที่พอเหมาะกับร่างกาย เก้าอี้ที่นุ่มเกินไปหรือแข็งเกินไปจะทำให้นั่งไม่สะดวก และทำให้อ่านไม่ได้นาน
- ควรถือหนังสือให้ห่างจากดวงตาไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร (ประมาณ 1 ไม้บรรทัด)และไม่ควรนอนอ่านหนังสือนะคะ เพราะนอกจากจะทำให้เมื่อยแขนมากกว่าปกติแล้ว สายตายังต้องปรับระดับมากอีกด้วย สายตาจะเสียเอานะคะ

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กินผักบำรุงสายตา อ่านหนังสือฉลุย!!!


กินผักบำรุงสายตา
อ่านหนังสือฉลุย!!!


อาหารที่บำรุงสายตา จะมีส่วนประกอบของวิตามินเอ(Vitamiv A) เป็นส่วนสำคัญค่ะ เนื่องจากวิตามินเอนั้น จะช่วยในการแปรพลังงานแสงที่ได้รับให้เป็นสัญญาณสู่ระบบประสาท ถ้าหากขาดไปการรับภาพของจอตาอาจจะเสื่อมลงได้ แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอมากนอกจากจะอยู่อาหารประเภทสัตว์ เช่น ตับ,ไข่แดงหรือนม แล้ว ก็จะมีอยู่ในพืชมีเขียว สีแสด หรือสีเหลือง (สีสวยๆทั้งนั้นเลย) เช่น

กินผักบำรุงสายตา อ่านหนังสือฉลุย!!!
1.ผักบุ้ง มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม ไม่แสบ หรือ รู้สึกแห้งในตา เมนูเด็ดๆ ก็คือ ผักบุ้งไฟแดง ลวกจิ้มน้ำพริก หรือกินสดๆก็ได้ค่ะ
2.ตำลึง เป็นไม้เลื้อยที่แต่ก่อนมักปลูกตามรั้วบ้าน ตำลึงเป็นผักที่มีรสหวาน กลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินเอ เมนูยอดนิยมก็ต้องแกงจืดตำลึง หรือเอาชุบแป้งทอดก็ได้นะคะ
3.แครอต เป็นผักที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงสายตา และว่ากันว่าจำเป็นถึงขนาดที่นักบินอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กินเพื่อช่วยใช้ในการโจมตีข้าศึกตอนกลางคืน ทำให้โจมตีเป้าหมายได้แม่นยำ(โอ้โฮ สุดยอดเลยค่ะ) เมนูแครอทก็มีมากมาย ต้ม ผัด แกง ทอด หรือจะเอาไปทำเป็นน้ำแครอทก็ยังได้ เยี่ยมจริงๆ
4. ฟักทอง กินได้ทั้งยอดอ่อน ดอกตูม ลูกฟักทองอ่อน และเนื้อฟักทองแก่ มีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส สามารถนำมาทำได้ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน เช่น ผัดฟักทอง แกงขียวหวานฟักทอง หรือฟักทองบวดฟักทอง พายฟักทอง เป็นต้น


Diary Online

วันนี้ทำการบ้านชีวะยากมาก
เฮ้อ!! การบ้านเยอะมากเสาร์-อาทิตย์นี้

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552


สัญญาณเตือนจาก "เล็บ"
อย่าคิดว่าเล็บไม่มีความสำคัญ เห็นเป็นแค่ส่วนเกินของนิ้วมือเท่านั้น
เล็บมีส่วนประกอบหลักของสารโปรตีนประเภท "เคราติน" (Keratin) ในคนที่มีสุขภาพปกติ เล็บจะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็ง เรียบ ลื่น แต่ถ้าเล็บเริ่มมีรูปร่างหรือสีแปลกไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่าง
ในคอลัมน์สุขภาพ "Happy health" นิตยสาร "BE" ฉบับล่าสุด แนะวิธีสังเกตเล็บมือดังนี้
1.เล็บมีลักษณะสีขาวเป็นแผ่นตรงกลาง อาจมีความผิดปกติกับตับ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ
2.เล็บมีลักษณะหนากว้าง โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีม่วงคล้ำลักษณะแบบนี้พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง
3.เล็บมีลักษณะเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา อาจเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง เพราะลักษณะแบบนี้จะพบในผู้ป่วยโรคผิวหนังถึง 70%
4.เล็บมีลักษณะขาวซีด อ่อน แบนและบุ๋ม ลักษณะแบบนี้พบมากในคนที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นโรคโลหิตจาง
5.เล็บมีลักษณะเป็นสีเหลือง ถ้าพบลักษณะแบบนี้ในเล็บบนนิ้วมือที่ถนัด อาจเป็นเพราะสารนิโคตินที่มาจากบุหรี่เกาะบนเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ ลักษณะนี้จะพบมากในผู้ป่วยโรคปอด
6.เล็บมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีม่วงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกจะพบมากในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ และโรคขาดวิตามินซี
7.เล็บมีลักษณะเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์อาจขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลล์สร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์ หรือกำลังมีปัญหาสุขภาพ อาจจะมีโรคภายในที่ทำให้เจ็บป่วยหนักขึ้น
8.เล็บมีลักษณะสีดำ ส่วนมากพบในคนที่ขาดวิตามินบี 12 และในผู้ป่วยโรคลำไส้ผิดปกติ อาจมีจุดดำๆ เกิดขึ้นตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปากและริมฝีปาก
ต่อไปเวลาตัดเล็บ อย่าลืมสังเกตความผิดปกติของสีเล็บด้วยทุกครั้ง ถ้าพบความผิดปกติดังที่กล่าว ปรึกษาแพทย์เป็นดีที่สุด
ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เป็นแล้วแก้จะแย่ทีหลัง

ที่มา:http://webboard.yenta4.com/topic/329756

Diary

วันนี้เรียนคอมพิวเตอร์ บางทีก็รู้สึกไม่ดีเลย เวลาที่ส่งงานช้า หรือ ทำงานไม่ถูกต้องตามคำสั่ง
แต่เราก็ควรจะพยายามปรับตัวให้มากๆ เฮ้อ!!
เมื่อวานก็ไม่ได้ไปโรงเรียน ไปส่งเพื่อนไป AFS ที่ America กลับมาทำการบ้านจนถึงเที่ยงคืนวันนี้เลยรู้สึก ง่วงๆ คิดถึงเพื่อนกวา เหมือนกันนะ แต่ก็เพื่อนไปสู่อนาคตที่ดี
เฟิร์น ณภัทร์กมล

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่

แม่จ๋า "หนูรักแม่..."
แล้วคุณล่ะบอกรักแม่หรือยัง?

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552



งานวิชาภาษาไทยของ อาจารย์อมรา


เนื้อเรื่องย่ออยู่กับก๋ง



บ้านสวน พ.ศ.2548 หยก ชายชราวัย 60 ปี ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียนของตน มีผลงานตีพิมพ์มากมาย ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีลูกหลานมากมาย เมื่อมองภาพครอบครัวที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้ หยกมักจะย้อนคิดถึงวัยเด็กที่มีเพียงเขาและ ก๋ง ทุกครั้งก๋ง ชายชราชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ก๋งเป็นช่างฝีมือ ประกอบอาชีพหลักคืองานซ่อมเซรามิค อันเป็นวิชาที่ติดตัวมาจากเมืองจีน ความคิดอ่านที่กว้างไกลและความเมตตาของก๋ง ทำให้ก๋งได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนมากมายในชุมชนห้องแถวที่อาศัยอยู่ ซึ่งผลบุญนี้ได้ตกมาถึง หยก เด็กกำพร้าที่ก๋งได้อุปการะไว้ หยกเติบโตอย่างอบอุ่นภายใต้การเลี้ยงดูของก๋ง แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง หยกมักสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่มีพ่อแม่เหมือนคนอื่น จนวันหนึ่งหยกได้พบเห็นเด็กกำพร้าที่ถูกเอามาวางทิ้งไว้ หยกจึงได้เข้าใจว่าโลกนี้ยังมีเด็กโชคร้ายอีกหลายคนนัก และเพื่อนเขาบางคนเช่น ป้อม ลูกชายของ คุณนายทองห่อ กับคุณปลัด ที่แม้จะมีพ่อแม่พร้อมหน้า หากหยกได้รู้ความจริงว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น มีแต่การปั้นหน้าใส่กัน หยกจึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้วการที่เขามีก๋งคอยให้ความรักกับเขาอย่างแท้จริงต่งหากที่ทำให้เขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้วชุมชนห้องแถวที่ก๋งและหยกอาศัยอยู่เป็นแหล่งรวมคนจีนมากหน้า เพื่อนบ้านที่สนิทกันอยู่ก็คือ เง็กจู ซึ่งเป็นที่ยึดติดกับธรรมเนียมจีนอย่างเหนียวแน่น และไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง เง็กจูมีลูกชายคือ เพ้ง และลูกสาวคือ เกียว หลายครั้งที่เง็กจูมีปัญหากับลูก ก๋งจะเป็นคนคอยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เกียวแหกประเพณีเดิมของผู้หญิงจีน หนีไปเรียนภาคค่ำ หรือตอนที่เพ้งรับ นวล ภรรยาคนไทยเข้าบ้าน จนเง็กจูขู่จะฆ่าตัวตาย ก๋งเป็นคนชี้ทางสว่างให้เง็กจูเห็นและยอมปรับทัศนคติเพื่ออยู่ร่วมกับลูกหลานในโลกปัจจุบันให้ได้ หรือแม้แต่คนไทยบางคนที่มาเช่าบ้านอยู่ในชุมชนจีนนี้ ก๋งก็เป็นคนจีนคนเดียวที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ ขณะที่คนจีนคนอื่นๆ ตั้งแง่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็น สมพร หญิงสาวผู้โชคร้ายที่หนีออกมาจากซ่องโสเภณี แฉล้ม และไพศาล คู่ผัวเมียที่ทะเยอทะยานในวัตถุจนตกเป็นทาสการพนัน และหาญ กับจำเรียง หนุ่มสาวที่วิวาห์เหาะมาจากกรุงเทพฯชุมชนห้องแถว พ.ศ.2548 หยก กลับไปเยี่ยมชุมชนห้องแถวอีกครั้ง เขาเพ่งมองภาพถ่ายขาวดำของงานวันแซยิด ในห้องแถวหลังเก่าของตัวเอง เรื่องราวเก่าๆ ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าวันนี้ชุมชนห้องแถวจะเปลี่ยนแปลงและเจริญขึ้นมากกว่าวันก่อนแล้วก็ตาม หน้าห้องแถวห้องหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งนอนอ่านหนังสือให้อากงของตัวเองฟัง หยกนึกถึงภาพตัวเองกับก๋งในวัยเด็ก และยิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อหนังสือ “อยู่กับก๋ง” บนหน้าปก หยกเหม่อมองท้องฟ้าราวกับจะมองหาก๋ง อยากให้ก๋งได้เห็นว่าวันนี้ เขาได้ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับก๋งแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

"ใช้สายตายังไงให้ถูกวิธี"

• อ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และถือหนังสือห่างจากดวงตาประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรอ่านหนังสือเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ ควรพักสายตาประมาณ 30-45 นาที เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา
• ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และควรนั่งห่างจากจอโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดโทรทัศน์
• ไม่ควรจ้องมองพระอาทิตย์เป็นเวลานานๆ

• ควรสวมแว่นตาทุกครั้งที่ต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด หรือขับขี่รถยนต์

• หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ

• เวลาที่เศษผงเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน
• ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ ควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา
• ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

• เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา ไม่ควรกดนวดดวงตา หรือกรอกดวงตาไปมา แต่ควรหลับตาประมาณ 20 -30 นาที

• ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา ยาหยอดตา ร่วมกับผู้อื่น

• ควรปิดไฟนอน เพื่อเป็นการพักสายตา

• ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน

• ควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง
ที่มา : http://www.dek-d.com/